ศักยภาพการผลิตกุ้งของไทย
ปัจจุบันไทยผลิตกุ้งได้ 5 แสนตันต่อปี ผลผลิตส่วนใหญ่ 80% หรือ 4 แสนตัน ใช้เพื่อการส่งออก สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้กว่า 9 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกกุ้งรวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลกเหนือคู่แข่งอย่างเวียดนาม จีน อินโดนีเซีย และอินเดีย (อมร, 2553)
ปัจจุบันไทยผลิตกุ้งได้ 5 แสนตันต่อปี ผลผลิตส่วนใหญ่ 80% หรือ 4 แสนตัน ใช้เพื่อการส่งออก สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้กว่า 9 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกกุ้งรวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลกเหนือคู่แข่งอย่างเวียดนาม จีน อินโดนีเซีย และอินเดีย (อมร, 2553)
ราคากุ้งที่ส่งออก
ราคาส่งออก FOB พบว่า ราคาส่งออก กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งลดลงจากกิโลกรัมละ 215.37 บาท ในปี 2551 เป็นกิโลกรัมละ 211.64 บาทในปี 2552 คิดเป็นร้อย ละ 1.73 ซึ่งการที่ราคาส่งออกในรูปเงินบาทจะเพิ่มหรือลดนั้น นอกจากจะขึ้นกับราคาในตลาดโลกแล้วยังขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราอีกด้วย โดยแนวโน้มราคาส่งออกในปีนี้ (2553) จะลดลงเพราะค่าเงินบาทแข็งตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามปัจจัยของปริมาณผลผลิตก็มีส่วนสำคัญในการกำหนดเช่นกัน เนื่องจากผลผลิตในปีนี้ลดลงจากปัญหาโรคขี้ขาว ดังนั้นจึงเห็นว่าราคารับซื้อกุ้งภายในประเทศยังคงตัวอยู่
หมายเหตุ: FOB (Free on Board) = F.A.S + Export Handling Charge เป็นราคาที่รวมค่าใช้จ่ายทุกชนิดเช่น ค่าบรรจุหีบห่อ ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตลอดจนค่ายกสินค้า ลงเรือ ตั้งแต่โรงงานจนถึงสินค้าขึ้นเรือ ณ ท่าเรือต้นทางอย่างเรียบร้อย หรือเครื่องบิน
ราคาส่งออก FOB พบว่า ราคาส่งออก กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งลดลงจากกิโลกรัมละ 215.37 บาท ในปี 2551 เป็นกิโลกรัมละ 211.64 บาทในปี 2552 คิดเป็นร้อย ละ 1.73 ซึ่งการที่ราคาส่งออกในรูปเงินบาทจะเพิ่มหรือลดนั้น นอกจากจะขึ้นกับราคาในตลาดโลกแล้วยังขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราอีกด้วย โดยแนวโน้มราคาส่งออกในปีนี้ (2553) จะลดลงเพราะค่าเงินบาทแข็งตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามปัจจัยของปริมาณผลผลิตก็มีส่วนสำคัญในการกำหนดเช่นกัน เนื่องจากผลผลิตในปีนี้ลดลงจากปัญหาโรคขี้ขาว ดังนั้นจึงเห็นว่าราคารับซื้อกุ้งภายในประเทศยังคงตัวอยู่
หมายเหตุ: FOB (Free on Board) = F.A.S + Export Handling Charge เป็นราคาที่รวมค่าใช้จ่ายทุกชนิดเช่น ค่าบรรจุหีบห่อ ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตลอดจนค่ายกสินค้า ลงเรือ ตั้งแต่โรงงานจนถึงสินค้าขึ้นเรือ ณ ท่าเรือต้นทางอย่างเรียบร้อย หรือเครื่องบิน
ตลาด
ตลาดส่งออกกุ้งของไทยที่สำคัญอันดับ 1 ได้แก่ สหรัฐ ญี่ปุ่น แคนาดา เป็นต้น โดยประเทศที่ไทยส่งออกกุ้ง 10 อันดับแรกแสดงไว้ในตาราง
ตลาดส่งออกกุ้งของไทยที่สำคัญอันดับ 1 ได้แก่ สหรัฐ ญี่ปุ่น แคนาดา เป็นต้น โดยประเทศที่ไทยส่งออกกุ้ง 10 อันดับแรกแสดงไว้ในตาราง
มูลค่าการส่งออกกุ้งแช่แข็งและแปรรูปของไทยไปยังประเทศต่างๆ
ระหว่าง พ.ศ. 2549-2550
หน่วย: ล้านเหรียญสหรัฐ
ประเทศ
|
2549
|
2550
|
สหรัฐอเมริกา
|
1,015.95
|
943.41
|
ญี่ปุ่น
|
306.21
|
305.10
|
แคนนาดา
|
91.60
|
130.58
|
เกาหลีใต้
|
60.2
|
67.58
|
เยอรมัน
|
23.87
|
56.62
|
อังกฤษ
|
20.85
|
56.01
|
ออสเตรเลีย
|
40.73
|
48.01
|
เบลเยี่ยม
|
15.88
|
25.11
|
ฮ่องกง
|
23.28
|
23.99
|
รัสเซีย
|
4.62
|
15.96
|
สถานการณ์การส่งออกกุ้งของไทย
สำหรับในปีนี้คาดว่าการส่งออกกุ้งไทยมีโอกาสขยายตัวโดดเด่นต่อเนื่องจากปัจจัยบวก ทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและความได้เปรียบประเทศคู่แข่ง จากรายงานของบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดว่า ในปี 53 มูลค่าการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์จะขยายตัวได้ประมาณ 25% หรืออาจสูงกว่านี้ หากมีปัจจัยทางด้านราคาเป็นตัวช่วยหนุนให้มูลค่าการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์เพิ่มมากขึ้นไปอีก นอกเหนือไปจากปัจจัยความต้องการนำเข้าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่สหรัฐอเมริกาที่กำลังเผชิญกับปัญหาการรั่วไหลของน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในรัฐหลุยส์เซียน่าที่ถือเป็นแหล่งทำประมงสำคัญที่มีมูลค่าการผลิตอาหารทะเลประมาณ 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือ 79,200 ล้านบาท มีสัดส่วนเป็น 1 ใน 3 ของผลผลิตอาหารทะเลทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา และยังเป็นแหล่งผลิตกุ้งได้ปีละประมาณ 45 ล้านกิโลกรัม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 69 ของปริมาณการผลิตกุ้งทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา
ศูนย์วิจัยกสิกรยังระบุว่า หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าการรั่วไหลของน้ำมันจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอาหารทะเลของสหรัฐอเมริกา ทำให้ผลผลิตกุ้งของสหรัฐอเมริกามีปริมาณลดลงประมาณ 45,000 ตันในปีนี้ ขณะที่ความต้องการนำเข้ากุ้งและผลิตภัณฑ์ของสหรัฐอเมริกาก็ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อชดเชยกับปริมาณผลผลิตที่ลดลง และไทยยังจะได้รับอานิสงส์จากการส่งออกไปยังตลาดที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณผลผลิตกุ้งของสหรัฐอเมริกาที่ลดลง อาทิ ตลาดยุโรปและญี่ปุ่น เพราะถือเป็นตลาดส่งออกในอันดับต้นของไทยอยู่เดิม ทำให้ต้องนำเข้ากุ้งจากไทยเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากปัจจัยด้านเศรษฐโลกที่เริ่มฟื้นตัว ยังคงมีปัจจัยสำคัญหลายด้านที่มีส่วนช่วยกระตุ้นให้อุตสาหกรรมการส่งออกกุ้งของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 53 ขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง คือ ปริมาณผลผลิตกุ้งของคู่แข่งทั้งในอินโดนีเซียและบราซิลที่ลดลงจากปัญหาการระบาดของโรคไวรัสกล้ามเนื้อขุ่น (IMN) ในช่วงปี 2552 ต่อเนื่องถึงปีนี้ โดยเฉพาะอินโดนีเซียซึ่งถือเป็นคู่แข่งสำคัญในการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ไปตลาดสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจส่งผลให้ผลผลิตกุ้งของทั้ง 2 ประเทศมีปริมาณลดลงไปอย่างน้อยประมาณร้อยละ 40 จึงเป็นโอกาสดีที่ไทยจะสามารถขยายปริมาณการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์เข้าไปทดแทนในตลาดที่ได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้การที่สหรัฐอเมริกาประกาศพิจารณาการเก็บภาษีเอดีจากไทยใหม่ จึงอาจมีโอกาสที่ไทยจะเสียภาษีเอดีในอัตราที่ต่ำลงกว่าปีที่แล้ว ซึ่งในการพิจารณาเบื้องต้นระบุอัตราภาษีเฉลี่ยทั้งประเทศที่เรียกเก็บจากไทยร้อยละ 3.19 ซึ่งลดลงจากการพิจารณารอบที่แล้ว และด้วยปัญหาด้านผลผลิตกุ้งของสหรัฐอเมริกาที่มีแนวโน้มลดลงมากในปีนี้ จึงอาจมีส่วนช่วยผลักดันให้การพิจารณาอัตราการจัดเก็บภาษีเอดีของสหรัฐอเมริกาในรอบนี้เอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยมากขึ้นด้วย รวมทั้งการขยายช่องทางการส่งออกของผู้ประกอบการที่เน้นขยายตลาดอาหารทะเลไปยังประเทศในแถบแอฟริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และรัสเซีย เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง นอกจากนี้การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ในประเทศแอฟริกาใต้จะเป็นการช่วยกระตุ้นให้ความต้องการบริโภคอาหารทะเลเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งจากภาคบริการ ภาคการท่องเที่ยว และธุรกิจร้านอาหารต่างๆที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปี 2553 จะเป็นปีที่เอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมกุ้งของไทย แต่ก็ยังมีประเด็นที่เกษตรกรและผู้ประกอบการต้องระวังคือ ปริมาณผลผลิตกุ้งที่อาจเพิ่มสูงขึ้นจนล้นตลาดในช่วงปลายปีจากการเร่งผลิต เนื่องด้วยราคาที่จูงใจ และอาจทำให้กุ้งที่ผลิตได้มีขนาดตัวเล็กไม่ได้คุณภาพ ดังนั้นเกษตรกรและผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญในด้านการเพาะเลี้ยง โดยเน้นที่คุณภาพและขนาดกุ้ง รวมทั้งควรให้ความสำคัญในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม กระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และความปลอดภัยในด้านการปนเปื้อนของผลิตภัณฑ์/การบรรจุ/ระบบการขนส่ง ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น และต่างหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นในการควบคุมผลิตภัณฑ์นำเข้า ประกอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยต้องเข้มงวดในการป้องกันโรคระบาดในกุ้งจากต่างประเทศไม่ให้แพร่กระจายเข้ามาในไทย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียโอกาสการทำตลาดในช่วงนี้ และมีประเด็นที่ต้องเฝ้าจับตา คือ ความผันผวนของค่าเงินบาทที่อาจแข็งค่าขึ้น จนส่งผลให้ความสามารถในการส่งออกของไทยด้อยกว่าคู่แข่ง
สำหรับในปีนี้คาดว่าการส่งออกกุ้งไทยมีโอกาสขยายตัวโดดเด่นต่อเนื่องจากปัจจัยบวก ทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและความได้เปรียบประเทศคู่แข่ง จากรายงานของบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดว่า ในปี 53 มูลค่าการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์จะขยายตัวได้ประมาณ 25% หรืออาจสูงกว่านี้ หากมีปัจจัยทางด้านราคาเป็นตัวช่วยหนุนให้มูลค่าการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์เพิ่มมากขึ้นไปอีก นอกเหนือไปจากปัจจัยความต้องการนำเข้าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่สหรัฐอเมริกาที่กำลังเผชิญกับปัญหาการรั่วไหลของน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในรัฐหลุยส์เซียน่าที่ถือเป็นแหล่งทำประมงสำคัญที่มีมูลค่าการผลิตอาหารทะเลประมาณ 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือ 79,200 ล้านบาท มีสัดส่วนเป็น 1 ใน 3 ของผลผลิตอาหารทะเลทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา และยังเป็นแหล่งผลิตกุ้งได้ปีละประมาณ 45 ล้านกิโลกรัม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 69 ของปริมาณการผลิตกุ้งทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา
ศูนย์วิจัยกสิกรยังระบุว่า หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าการรั่วไหลของน้ำมันจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอาหารทะเลของสหรัฐอเมริกา ทำให้ผลผลิตกุ้งของสหรัฐอเมริกามีปริมาณลดลงประมาณ 45,000 ตันในปีนี้ ขณะที่ความต้องการนำเข้ากุ้งและผลิตภัณฑ์ของสหรัฐอเมริกาก็ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อชดเชยกับปริมาณผลผลิตที่ลดลง และไทยยังจะได้รับอานิสงส์จากการส่งออกไปยังตลาดที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณผลผลิตกุ้งของสหรัฐอเมริกาที่ลดลง อาทิ ตลาดยุโรปและญี่ปุ่น เพราะถือเป็นตลาดส่งออกในอันดับต้นของไทยอยู่เดิม ทำให้ต้องนำเข้ากุ้งจากไทยเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากปัจจัยด้านเศรษฐโลกที่เริ่มฟื้นตัว ยังคงมีปัจจัยสำคัญหลายด้านที่มีส่วนช่วยกระตุ้นให้อุตสาหกรรมการส่งออกกุ้งของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 53 ขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง คือ ปริมาณผลผลิตกุ้งของคู่แข่งทั้งในอินโดนีเซียและบราซิลที่ลดลงจากปัญหาการระบาดของโรคไวรัสกล้ามเนื้อขุ่น (IMN) ในช่วงปี 2552 ต่อเนื่องถึงปีนี้ โดยเฉพาะอินโดนีเซียซึ่งถือเป็นคู่แข่งสำคัญในการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ไปตลาดสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจส่งผลให้ผลผลิตกุ้งของทั้ง 2 ประเทศมีปริมาณลดลงไปอย่างน้อยประมาณร้อยละ 40 จึงเป็นโอกาสดีที่ไทยจะสามารถขยายปริมาณการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์เข้าไปทดแทนในตลาดที่ได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้การที่สหรัฐอเมริกาประกาศพิจารณาการเก็บภาษีเอดีจากไทยใหม่ จึงอาจมีโอกาสที่ไทยจะเสียภาษีเอดีในอัตราที่ต่ำลงกว่าปีที่แล้ว ซึ่งในการพิจารณาเบื้องต้นระบุอัตราภาษีเฉลี่ยทั้งประเทศที่เรียกเก็บจากไทยร้อยละ 3.19 ซึ่งลดลงจากการพิจารณารอบที่แล้ว และด้วยปัญหาด้านผลผลิตกุ้งของสหรัฐอเมริกาที่มีแนวโน้มลดลงมากในปีนี้ จึงอาจมีส่วนช่วยผลักดันให้การพิจารณาอัตราการจัดเก็บภาษีเอดีของสหรัฐอเมริกาในรอบนี้เอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยมากขึ้นด้วย รวมทั้งการขยายช่องทางการส่งออกของผู้ประกอบการที่เน้นขยายตลาดอาหารทะเลไปยังประเทศในแถบแอฟริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และรัสเซีย เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง นอกจากนี้การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ในประเทศแอฟริกาใต้จะเป็นการช่วยกระตุ้นให้ความต้องการบริโภคอาหารทะเลเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งจากภาคบริการ ภาคการท่องเที่ยว และธุรกิจร้านอาหารต่างๆที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปี 2553 จะเป็นปีที่เอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมกุ้งของไทย แต่ก็ยังมีประเด็นที่เกษตรกรและผู้ประกอบการต้องระวังคือ ปริมาณผลผลิตกุ้งที่อาจเพิ่มสูงขึ้นจนล้นตลาดในช่วงปลายปีจากการเร่งผลิต เนื่องด้วยราคาที่จูงใจ และอาจทำให้กุ้งที่ผลิตได้มีขนาดตัวเล็กไม่ได้คุณภาพ ดังนั้นเกษตรกรและผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญในด้านการเพาะเลี้ยง โดยเน้นที่คุณภาพและขนาดกุ้ง รวมทั้งควรให้ความสำคัญในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม กระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และความปลอดภัยในด้านการปนเปื้อนของผลิตภัณฑ์/การบรรจุ/ระบบการขนส่ง ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น และต่างหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นในการควบคุมผลิตภัณฑ์นำเข้า ประกอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยต้องเข้มงวดในการป้องกันโรคระบาดในกุ้งจากต่างประเทศไม่ให้แพร่กระจายเข้ามาในไทย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียโอกาสการทำตลาดในช่วงนี้ และมีประเด็นที่ต้องเฝ้าจับตา คือ ความผันผวนของค่าเงินบาทที่อาจแข็งค่าขึ้น จนส่งผลให้ความสามารถในการส่งออกของไทยด้อยกว่าคู่แข่ง
ตารางการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งกุลาดำ
พ.ศ. 2551-2553
ปริมาณ: ตัน / มูลค่า: ล้านบาท
ผลิตภัณฑ์
|
พ.ศ. 2551
|
พ.ศ. 2552
|
พ.ศ. 2553
|
|||
ปริมาณ
|
มูลค่า
|
ปริมาณ
|
มูลค่า
|
ปริมาณ
|
มูลค่า
|
|
กุ้งแช่แข็ง
|
14,283
|
2,681
|
11,238
|
2,355
|
11,028
|
1,985
|
กุ้งต้ม
|
65
|
14
|
36
|
5
|
43
|
5
|
กุ้งปรุงแต่ง
บรรจุภาชนะที่อากาศผ่านเข้าออกไม่ได้
|
19,127
|
4,309
|
16,712
|
3,748
|
10,346
|
2,338
|
กุ้งปรุงแต่ง
ไม่บรรจุภาชนะที่อากาศเข้าออกไม่ได้
|
142,144
|
36,970
|
162,204
|
43,429
|
120,365
|
31,106
|
กุ้งอื่น
|
3,049
|
775
|
2,617
|
646
|
1,871
|
441
|
กุ้งแห้ง
|
157
|
64
|
270
|
77
|
261
|
97
|
รวม
|
178,825
|
44,813
|
193,077
|
50,260
|
143,914
|
35,971
|
บรรณานุกรมหนังสือภาษาไทย
เปล่งศรี อิงคนินันท์. รายงานการวิจัยการพํฒนาเครือข่ายฐานข้อมูลงานวิจัยกุ้งแห่งชาติ.
กรุงเทพมหานคร : สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2548.
ปราณิศา เชื้อโพธิ์หัก. ผลิตภัณฑ์พื้นบ้านจากสัตว์น้ำ. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยเกษตศาสตร์,
ม.ป.ป..
บรรจง เทียนส่งรัศมี. การเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล. กรุงเทพมหานคร : ทบวงมหาวิทยาลัย, 2520.

เรื่องกุ้งๆที่ใครๆก็รู้ โดย อรจิรา บอนน์ อนุญาตให้ใช้ได้ตาม สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International.
อยู่บนพื้นฐานของงานที่ http://aboutshrimpp.blogspot.com/.
การอนุญาตนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในสัญญาอนุญาตนี้ อาจมีอยู่ที่ http://aboutshrimpp.blogspot.com/