ขั้นตอนและวิธีการทำ




การบันทึกข้อมูล





เกษตรกรต้องมีการบันทึกข้อมูลการผลิตในแต่ละรุ่น แยกไว้ให้ชัดเจน โดยการบันทึกข้อมูลของเกษตรกรต้อง พยายามบันทึกให้เร็วที่สุด หลังจากปฏิบัติงานเสร็จเรียบร้อย เพื่อให้ข้อมูลมีความทันสมัย เพราะนอกจากจะทำให้การบันทึกข้อมูลไม่คั่งค้างแล้ว จะเป็นการช่วยทำให้ข้อมูลที่บันทึกถูกต้องตามความเป็นจริงมากที่สุด การที่เกษตรกรจำข้อมูลสะสมไว้ก่อน และค่อยบันทึกภายหลังเมื่อต้องการ จะทำให้การบันทึกยุ่งยากต้องรื้อฟื้นความจำ และทำให้เกษตรกรไม่เห็นความสำคัญ และไม่ใส่ใจในการบันทึก ข้อมูลที่เกษตรกรต้องบันทึก เช่น ข้อมูลการเตรียมบ่อ เตรียมน้ำ คุณภาพของลูกกุ้งที่ปล่อย การจัดการให้อาหาร การเช็คยอ สุขภาพกุ้งทุกวัน บันทึกคุณภาพน้ำ ดิน ที่มีการวิเคราะห์ ปัญหาการเลี้ยง ปัญหาการจัดการสาธารณสุข ที่พบในฟาร์ม พร้อมทั้งบันทึกวิธีการแก้ไขทุกครั้ง บันทึกข้อมูลการนำปัจจัยการผลิตและการใช้ในฟาร์มทุกล๊อต และวิธีการปฏิบัติเวลาในการจัดการฟาร์มอื่นๆ ที่มี เกษตรกรต้องมีการสรุปภาพรวมในการผลิตเพื่อให้สะดวกต่อการตรวจสอบย้อนกลับหรือเข้าใจ ซึ่งข้อมูลในภาพรวม โดยใช้ตัวอย่างรูปแบบบันทึกดังต่อไปนี้ (เกษตรกรสามารถดัดแปลงได้ตามความเหมาะสม)

ประเภทบ่อเลี้ยงกุ้งขาว


การทำฟาร์มเลี้ยงกุ้งขาวแบบพัฒนาในประเทศไทยนิยมใช้พื้นที่ชายฝั่งทะเลหรือพื้นที่ที่มีน้ำทะเลเข้าถึง บ่อที่ใช้เลี้ยงปัจจุบันเป็นบ่อรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่ความกว้างและความยาวไม่แตกต่างกันมากนัก รูปแบบปัจจุบันที่นิยมมีอยู่ 2 ประเภท คือ


1. บ่อดิน เป็นประเภทของบ่อที่เกษตรกรนิยมใช้กันมากที่สุดเนื่องจากการลงทุนต่ำ และไม่ต้องใช้วัสดุมาก ดินก้นบ่อที่สะอาดทำหน้าที่ในการดูดซับสารอินทรีย์ ธาตุอาหารและแร่ธาตุส่วนเกินจากการเลี้ยงกุ้ง และเป็นที่อยู่อาศัยของแบคทีเรียที่ทำหน้าที่ย่อยสลายของเสีย ช่วยรักษาคุณภาพน้ำ การเจริญเติบโตของแพลงก์ตอนพืชและแบคทีเรียในน้ำให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนบ่อดินที่พื้นสกปรก มีสารอินทรีย์และธาตุอาหารสะสมอยู่มาก จึงมีการย่อยปล่อยของเสียและธาตุอาหารรวมทั้งสารพิษออกมา ทำให้คุณภาพน้ำเสื่อมโทรม และเกษตรกรไม่สามารถรักษาสมดุลของบ่อเลี้ยงได้ บ่อดินที่ใช้เลี้ยงกุ้งได้ดี ต้องการออกซิเจนปริมาณเพียงพอเพื่อให้หน้าดินมีสภาพที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยของกุ้ง

2. บ่อปูผ้าโพลีเอทีลีน
เป็นบ่อที่นำผ้าโปลีเอทีลีน มาปูพื้นบ่อรวมทั้งขอบบ่อเพื่อให้ง่ายต่อการทำความสะอาดพื้นบ่อในระหว่างเลี้ยง การปูผ้าโพลีเอทีลน ทำให้ลดบทบาทของดินในการควบคุมระบบนิเวศของบ่อเลี้ยงกุ้ง เช่นลดความต้องการออกซิเจนของหน้าดินเนื่องจากพื้นบ่อที่สกปรก และช่วยในการควบคุมสัตว์น้ำที่เป็นพาหะของโรคไวรัสที่จะเข้าและออกจากบ่อเลี้ยง ทำให้สามารถเพิ่มความหนาแน่นของลูกกุ้งที่ปล่อยลงเลี้ยงได้ การปูผ้าโพลีเอทีลีน ต้องลงทุนสูง ผลเสียจากการปูผ้าโพลีเอทีลีนที่อาจจะเกิดขึ้น คือ ของเสียที่เกิดขึ้นระหว่างการเลี้ยงกุ้งจะหมุนเวียนเร็วขึ้น ดังนั้นสีน้ำจะเข้มได้ง่าย นอกจากนี้การปูผ้าโพลีเอทีลีนที่ไม่ดี หรือมีการรั่วซึมจะทำให้เกิดความชื้นและหมักหมมของดินใต้แผ่นผ้าและมีการปล่อยก๊าซออกมาแทรกอยู่ในช่องว่างระหว่างดินกับผ้า ทำให้ผิวพื้นไม่เรียบ และของเสียที่สะสมอยู่ในบ่อระหว่างเลี้ยงไหลกระจายไปอยู่บริเวณอื่นที่ไม่ใช่กลางบ่อ ยากต่อการรวมเลน ถ้าหากเลี้ยงกุ้งในความหนาแน่นสูง เกษตรกรต้องมีอุปกรณ์ที่ดีในการจัดการย่อยสลายของเสียและสารอินทรีย์ และต้องหมั่นตรวจสอบสภาพของของผ้าโพลีเอทีลีนให้อยู่ในสภาพดีไม่ฉีกขาดหรือรั่ว 2.1 การเตรียมบ่อเลี้ยง การเตรียมบ่อเลี้ยงเลี้ยงกุ้งมีความจำเป็นต่อผลสำเร็จของการเลี้ยงกุ้งทุกรุ่น บ่อเลี้ยงกุ้งต้องการระบบนิเวศที่มีแพลงก์ตอนพืชและแบคทีเรียในปริมาณที่เหมาะสมที่จะจัดการให้อยู่ในสมดุลได้ สมดุลของแพลงก์ตอนพืชและแบคทีเรียจะทำให้บ่อเลี้ยงมีคุณภาพน้ำและดินเหมาะสมและสามารถจัดการให้กุ้งมีการกินอาหารและเจริญเติบโตที่ดี การเตรียมบ่อเลี้ยงกุ้งสามารถแบ่งออกเป็น ๓ ขั้นตอน ดังนี้ การเตรียมพื้นบ่อ การเตรียมพื้นบ่อให้เหมาะสมกับการเลี้ยงกุ้ง มีหลักการทีต้องให้มีความสะอาด ไม่มีการหมักหมมของสารอินทรีย์ มีเคมีของดินที่ไม่ทำให้เกิดสารที่เป็นพิษ ถ้าเกษตรกรเร่งรอบของการเลี้ยงกุ้งโดยไม่มีการบำบัดเลนที่ดีพอ (ใช้ระยะเวลามีระยะพักบ่อน้อยเกินไป) เมื่อบ่อยังคงมีดินที่ขาดออกซิเจนและมีสารอินทรีย์ในปริมาณสูงอยู่ ถูกเติมน้ำกลับลงไปก้นบ่อก็จะเกิดปัญหาการขาดออกซิเจนและสร้างสารพิษได้เร็วขึ้นภายในระยะเวลาเพียง ๑-๒ เดือนการเตรียมบ่อที่ดีจะได้ดินพื้นบ่อที่สะอาด มีสารอินทรีย์และสารพิษน้อย การบำบัดดินในระยะเวลาที่นานเพียงพอ จะทำให้เกิดปุ๋ยสะสมอยู่ในดิน มีประโยชน์ต่อการการเตรียมน้ำเพื่อกระตุ้นให้เกิดอาหารธรรมชาติในบ่อ







3 การพื้นฟูสภาพดินก้นบ่อ
ดินก้นบ่อเมื่อใช้เลี้ยงกุ้งไปนานๆ การทำความสะอาดบ่อ และการปล่อยธาตุอาหารจากพื้นบ่อออกไปในน้ำที่ใช้เลี้ยงกุ้ง การถ่ายน้ำออกจาก บ่อเวลาจับกุ้ง เป็นปัจจัยที่ทำให้ธาตุอาหารในดินจะหมดไป หรือเสียสมดุล ทำให้การจัดการรักษา คุณภาพของดินและการเตรียมสีน้ำทำได้ลำบาก เช่น พื้นบ่อดินทราย ที่สามารถสูญเสียธาตุอาหารได้ง่าย การเตรียมบ่อที่มีพื้นเช่นนี้ นอกจากจะใช้วิธีไม่นำดินเลนออกจากบ่อแล้ว ยังใช้วิธีไถพรวนและ เติมจุลินทรีย์หมักปุ๋ยคอกและแกลบที่สะอาดลงไปในดินระหว่างการไถพรวนและตากบ่อ เพื่อเป็นการช่วยย่อยสลายอินทรีย์สารในดินและปรับเติมธาตุอาหารอื่นๆ เข้าไปรักษาหรือฟื้นฟูสมดุลของ ดินที่เลี้ยงกุ้ง ซึ่งพบว่าจะทำให้เตรียมสีน้ำง่ายขึ้น


การเลือกลูกกุ้งคุณภาพ 


                                


คุณภาพลูกกุ้งเป็นตัวแปรสำคัญของความสำเร็จในการเลี้ยงกุ้ง ปัจจุบัน ปัญหาการระบาดของโรค
ไวรัสในกุ้งขาวที่ใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ เป็นปัญหาที่มีความสำคัญ ไวรัสที่อยู่ในพ่อแม่พันธุ์ที่เป็นพาหะนั้นสามารถถ่ายทอดในแนวดิ่งหรือถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกได้ ทำให้ลูกกุ้งติดเชื้อโรคมีการระบาดไปในพื้นที่ที่นำลูกกุ้งไปใช้ และเมื่อกุ้งแสดงอาการของโรคไวรัสในฟาร์มที่เลี้ยงเนื่องจากสภาวะเครียดหรือความอ่อนแอของกุ้งเป็นตัวกระตุ้น ทำให้มีการถ่ายทอดเชื้อไวรัสในแนวนอน ไปสู่กุ้งในบ่ออื่นๆ ได้ การคัดเลือกลูกกุ้งที่มีคุณภาพมาเลี้ยงจึงมีความจำเป็น 


การกำจัดพาหะและสัตรูของลูกกุ้ง
การกำจัดพาหนะและศัตรูของกุ้งในช่วงระหว่างการเตรียมบ่อจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเลี้ยงกุ้งแบบพัฒนา ทำให้ความเสี่ยงในการเลี้ยงกุ้งล้มเหลวลดน้อยลง ปัญหาของพาหะนั้นเน้นที่สัตว์น้ำประเภทกุ้งปูที่เป็นพาหะของโรคไวรัสที่มีการระบาดอย่างรุนแรงและไม่มียารักษา รวมถึงศัตรูที่เป็นอันตรายต่อลูกกุ้ง และสัตว์น้ำอื่นๆ ที่รบกวน ทำให้เกิดปัญหาในระหว่างการจัดการเลี้ยง ดังนี้

(1) หอยเจดีย์ หอยเจดีย์เป็นปัญหามาก ในบ่อที่สารอินทรีย์และมีการใช้ปูนในปริมาณมาก 
 





(2) ไข่และลูกปลา ไข่ปลาและลูกปลาที่หลุดเข้ามาในบ่อในช่วงของการเติมน้ำจะฟักและเจริญเติบโตในช่วงเตรียมบ่อและเป็นศัตรูหรือแย่งอาหารของลูกกุ้งที่เลี้ยง วิธีการป้องกันคือกรองด้วยอวนตาถี่ 2 ชั้น แล้วใช้การลงกากชาประมาณ 20-25 กก./ไร่ เพื่อฆ่าไข่ปลาและ ลูกปลาที่หลุดเข้ามากับน้ำ ปัญหาที่เกิดหลังจากใช้กาคือจะเกิดฟองมาก และออกซิเจนลดต่ำลง จึง ควรช้อนฟองกากชาออกจากบ่อ และเปิดเครื่องเพิ่มออกซิเจนอย่างเต็มที่เป็นเวลา 7-10 วัน แล้วใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพและเตรียมน้ำ


(3) สาหร่ายพื้นบ่อ การมีสาหร่ายจำนวนมากนั้นเกิดจากเตรียมพื้นบ่อ และการเตรียมน้ำไม่ดี ทำให้น้ำใสเกินไป มีปุ๋ยเยอะ และสาหร่ายเกิดขึ้นที่พื้นบ่อ ส่วนใหญ่จะพบใน บ่อที่มีความเค็มต่ำ มีการใส่ปุ๋ยเคมีมากเกินไป หรือทำสีน้ำไม่ขึ้นแล้วรีบปล่อยกุ้ง สาหร่ายที่พื้นบ่อ เมื่อให้อาหารไปก็ไม่ตกอยู่บนสาหร่าย กุ้งก็กินไม่ได้ ยิ่งทำให้ ค่าความเป็นกรด-ด่าง สูงขึ้นเรี่อยๆ น้ำก็ยิ่งใส ซึ่งปัญหามากถ้าเกิดในระหว่างการเลี้ยง เพราะลงกุ้งไปแล้ว ไม่ควรใช้ยาหรือสารเคมีในการ ฆ่าสาหร่าย เพราะยาจะเข้าไปสะสมในตัวกุ้งและกุ้งโตช้า เมื่อลงกุ้งไปแล้ววิธีแก้ไขควรใช้คราดเอา สาหร่ายขึ้นมาหรือใช้คนลงไปเก็บ แล้วทำสีน้ำให้เข้มเพื่อไม่ให้แสงแดดส่องถึงพื้นก้นบ่อ หรือว่า เลี้ยงให้น้ำลึกขึ้น เพื่อลดปริมาณแสงที่ส่องถึงพื้น


(1) ปูและกุ้งท้องถิ่น ในพื้นที่เลี้ยงกุ้งที่เป็นที่ลุ่มชายฝั่ง ปูเปรี้ยว กุ้งกระต่อม กุ้งเคย เป็นสัตว์น้ำท้องถิ่นที่มักเป็นพาหะโรคไวรัส โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคไวรัสอย่างต่อเนื่อง เมื่อสัตว์น้ำเหล่านี้เข้าไปอยู่ในบ่อเลี้ยงก็สามารถถ่ายทอดเชื้อโรคให้กับกุ้งที่อ่อนแอทำให้เกิดการติดเชื้อโรคได้ และปูเหล่านี้มักจะเคลื่อนย้ายไปอาศัยในบ่อเลี้ยงกุ้งที่อยู่ใกล้เคียง วิธีการควรจะเตรียมบ่อให้แห้งไม่ให้มีน้ำขังเป็นแหล่งหลบซ่อนของปูและกุ้งพาหะในบ่อ และป้องกันไม่ให้ปูเข้ามาอยู่ในบ่อโดนกั้นอวนหรือผ้าพลาสติกรอบบ่อ น้ำที่นำเข้าบ่อควรเป็นน้ำที่มีการกรองและพักไว้ในบ่อพักน้ำ และกรองอีกครั้งหนึ่งก่อนนำเข้าสู่บ่อเลี้ยงกุ้ง


การจัดการในระหว่างเลี้ยง



                                


การเลี้ยงกุ้งให้เจริญเติบโตดี การจัดการในระหว่างเลี้ยงให้มีคุณภาพน้ำและตะกอนเลนพื้นบ่อที่ดี เป็นสิ่งที่เกษตรกรต้องทำให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่จับกุ้ง น้ำและตะกอนเลนพื้นบ่อมีคุณภาพเชื่อมโยงกัน น้ำเป็นที่อยู่อาศัยของกุ้ง แพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนสัตว์ จุลินทรีย์ ส่วนพื้นบ่อเป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ทำหน้าที่เป็นแหล่งสะสมหรือปล่อยสารอินทรีย์และของเสียที่เกิดจากการเลี้ยงกุ้ง คุณภาพดินพื้นบ่อเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดระยะเวลาจับกุ้ง เกษตรกรต้องจัดการควบคุมการสะสมของเสียและเพิ่มออกซิเจนที่ให้ลงไปยังพื้นบ่อให้เหมาะสม เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนของเสียกลับมาเป็นสารประกอบที่ไม่เป็นพิษและมีออกซิเจนเหลืออยู่พอเพียงสำหรับการเจริญเติบโตของกุ้ง พื้นบ่อที่เตรียมอย่างไม่เหมาะสม มีของเสียและปริมาณออกซิเจนไม่สมดุล ทำให้ของเสียที่พื้นบ่อเปลี่ยนเป็นสารประกอบที่เป็นพิษกับกุ้ง เช่น ก๊าซไข่เน่า ทำให้หน้าดินขาดออกซิเจนและมีสารพิษอยู่ในระดับที่มีผลต่อการกินอาหาร การเจริญเติบโต และการตายของกุ้ง ส่วนพื้นบ่อที่เตรียมอย่างเหมาะสมและมีออกซิเจนเพียงพอ ทำให้มีสัตว์หน้าดินและจุลินทรีย์จำนวนมากอาศัยอยู่ ลูกกุ้งที่ปล่อยลงเลี้ยงจึงมีอาหารธรรมชาติอย่างเพียงพอ ออกซิเจนที่เพียงพอ ทำให้แอมโมเนียซึ่งเป็นของเสียจากการเลี้ยงกุ้งที่เป็นพิษกับกุ้งให้เปลี่ยนมาอยู่ในรูปของไนเตรทที่ไม่เป็นพิษและสะสมอยู่ในพื้นบ่อ

ความลึกของน้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญ ความลึกที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงกุ้งขาวอยู่ที่ระดับ 1.2-1.8 เมตร ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้ในการให้ออกซิเจน และความพร้อมในการสูบหรือถ่ายน้ำ บ่อที่มีความลึกมากสามารถรักษาอุณหภูมิของน้ำให้มีการเปลี่ยนแปลงในรอบวันน้อย และสามากรถเลี้ยงกุ้งในปริมาณมาก แต่ก็มีข้อเสียสำหรับฟาร์มที่ไม่มีเครื่องเพิ่มออกซิเจนที่เหมาะสม ทำให้หน้าดินขาดออกซิเจนได้ง่าย บ่อที่ตื้น ปริมาณน้ำไม่เพียงพอในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำ ทำให้สภาพแวดล้อมของบ่อไม่คงที่ เกิดความยุ่งยากต่อการจัดการเลี้ยง แต่การเพิ่มออกซิเจนเข้าไปถึงหน้าดินสามารถทำได้ง่ายกว่า


การจัดการสุขภาพกุ้ง


จากสาเหตุการที่กุ้งจะเป็นโรคได้ ต้องประกอบด้วย 3 สาเหตุ หลักพร้อมกัน คือ


1) มีเชื้อโรคที่รุนแรงในบ่อเลี้ยง ซึ่งก็อาจมากับการนำน้ำที่มีเชื้อโรคนั้นเข้ามาโดยตรง ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ หรือเกิดจากมีพาหนะนำโรคเข้ามาในบ่อ เช่น ปู นก หรือกระทั่งคนก็เป็นพาหนะได้เช่นกัน


2) ตัวกุ้งเอง หมายถึง สุขภาพกุ้งที่สามารถรับเชื้อและต่อต้านเชื้อได้มากน้อยเพียงไร กุ้งจะแข็งแรง หรือไม่ และมักจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยสุดท้าย คือ


3) สิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ทำให้กุ้งเครียด ซึ่งเป็น สาเหตุหลักที่ทำให้กุ้งเป็นโรคได้ง่าย เมื่อกุ้งเครียด กุ้งก็จะอ่อนแอ ปราศจากภูมิคุ้มกัน สามารถรับ เชื้อได้ง่าย และเป็นโรคตายในที่สุด ระบบป้องกันเชื้อโรคของกุ้ง กุ้งมีระบบการป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคแบบไม่เจาะจง สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้


(1) ระบบป้องกันเชื้อโรคภายนอก เป็นการใช้อวัยวะ และกระบวนการทางสรีระของกุ้งในการป้องกันหรือกำจัดโรค สามารถแบ่งออกได้ดังนี้


1.1) เปลือก และการปล่อยมิวคัส (cuticle and mucous secretion) นับเป็นปราการด่านแรกในการป้องกันตัวกุ้ง ประกอบด้วยชั้นที่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบถึง ๔ ชั้นด้วยกัน ถูกสร้างจากเนื้อเยื่อชั้น epidermal


1.2) การลอกคราบ (molting) แม้ว่าจะเป็นกลไกปกติของร่างกาย ในการเจริญเติบโตที่มีช่วงลอกคราบต่างกันไปตามช่วงอายุก็ตาม แต่กลไกดังกล่าวก็มีบทบาทสำคัญ ในการสลัดสิ่งแปลกปลอมได้แก่ ซูโอแทนเนียม แบคทีเรียที่เกาะอยู่ที่เปลือกให้หลุดออกไปได้


1.3) การทำความสะอาดตัวเองของกุ้ง โดยใช้รยางค์พวก maxillipeds หรือการทำความสะอาดเหงือกด้วย epipodite เป็นการกำจัดสิ่งแปลกปลอมได้แก่ ซูโอแทนเนียม แบคทีเรียที่เกาะอยู่ที่ลำตัวหรือเหงือกให้หลุดออกไปได้


(2) ระบบภูมิคุ้มกันภายใน ได้แก่ ระบบเม็ดเลือด (haemolymph) เป็นการตอบสนองต่อเชื้อ โรคแปลกปลอมที่สามารถเล็ดลอดเข้าสู่ร่างกายได้ โดยมีส่วนประกอบ ๒ ส่วน คือ


2.1) เม็ดเลือด เป็นส่วนสำคัญในการขจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายกุ้ง ซึ่งอาจทำได้โดยวิธีการกลืนทำลาย (phagocytosis) หรือการห่อหุ้มสิ่งแปลกปลอม (encapsulation)


2.2) สารน้ำ ได้แก่ โปรตีนในน้ำเลือด เช่น agglutinin coaglogen fibrinogen bactericidin และระบบ prophenoloxidase activity เป็นต้น


3) สารอาหารและแร่ธาตุที่จำเป็น กุ้งไม่ควรขาดธาตุอาหารที่จำเป็น แร่ธาตุที่จำเป็นในกระบวนการลอกคราบ โดย เฉพาะอย่างยิ่งแคลเซี่ยม แมกนีเซี่ยม หรือไวตามินบางชนิดที่มักจะขาด ได้แก่ วิตามินซี เป็นต้น เพราะเหตุว่าการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ภายในตัวของกุ้งนั้นเป็นแบบไม่เฉพาะเจาะจง ไม่สามารถกระตุ้นให้มีการตอบสนองแบบเฉพาะขึ้นได้ ดังนั้น การกระตุ้นภูมิคุ้มกันในตัวกุ้งนั้น จะเป็นการกระตุ้นระบบภายใน เช่น การกระตุ้น ประสิทธิภาพการจับกินของเม็ดเลือด เช่น วิตามินซี วิตามินอี สมุนไพรบางชนิด หรือจะเป็นการกระตุ้นการทำงานของสารน้ำ เช่น สามารถกระตุ้นให้ประสิทธิภาพในการตอบสนองเพิ่มขึ้นได้จากโปรตีนบางชนิด ซึ่งมักพบอยู่บนผนังเซลของเชื้อโรค ได้แก่ เบต้ากลูแคน LPS เป็นต้น การเฝ้าระวังสุขภาพกุ้งประจำวัน ลูกกุ้งขาวหลังจากที่นำมาปล่อยลงบ่อ นั้น นอกจากต้องมีอายุที่เหมาะสมคือ อย่างน้อย P12 ขึ้นไป แล้ว ยังต้องเป็นลูกกุ้งที่มีสุขภาพโดยทั่วไป แข็งแรงและปลอดโรคไวรัส แบคทีเรีย หรือโปรโตซัวที่ไม่พึงประสงค์ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการคัดลูกกุ้งที่ดี ก็มิใช่ว่าจะไม่มีโรคปรากฏตลอดการเลี้ยง ทั้งนี้ในระหว่างการเลี้ยงก็มีสาเหตุ ความสำคัญที่ทำให้เกิดโรคได้เช่นกัน ดังนั้นการที่กุ้งที่เลี้ยงจะไม่เป็นโรคได้ง่ายนั้น ควรจัดการให้กุ้งมีความแข็งแรงอยู่เสมอ และที่สำคัญที่สุด คือ ให้กุ้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่กุ้งชอบและเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณภาพน้ำ ดินและสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ปะปนอยู่ในน้ำและดิน นอกจากนี้การตัดวงจรของเชื้อโรคที่อาจถ่ายทอดมากับพ่อแม่พันธุ์ การติดเชื้อที่มากับพาหะ ที่มากับน้ำที่ใช้เพาะเลี้ยง รวมถึงความเครียดของกุ้งที่ถูกกระตุ้น จากการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของสภาพแวดล้อมในบ่อ อย่างไรก็ตาม การสังเกตอาการของกุ้งที่ผิดปกติอาจทำที่ทำได้ยาก และอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจน การรอให้ปัญหาเกิดขึ้นแล้วเข้าไปแก้ปัญหาไม่ทันการ ดังนั้นเกษตรกรจึงควรมีการเฝ้าระวังสุขภาพกุ้ง ประจำวันเพื่อที่จะสามารถจัดการและแก้ไขได้ทันท่วงที โดยสิ่งที่เกษตรกรต้องเฝ้าสังเกตและต้องพึงปฏิบัติเป็นประจำก็คือ การดูความแข็งแรงของกุ้งจากยอ หรือจากการทอดแหเป็นระยะๆ ดังนี้


(1) กุ้งที่มีสุขภาพแข็งแรง มีลักษณะภายนอกพฤติกรรมต่างๆ ดังนี้ 1) กุ้งโตตามปกติ กินอาหารดี มีอาหารเต็มลำไส้ ขี้ยาว


2) ลำตัวใส สะอาด เหงือกสะอาด รยางค์ครบถ้วน


3) เมื่อส่องไฟตอนกลางคืน ตาจะแดง และกระโดดหลบว่องไว กุ้งที่ปกติก็จะกินอาหารดี เติบโตดี เนื่องจากกุ้งเป็นสัตว์ที่ลำไส้สั้น จึงต้องมีการกินอาหารถี่ๆ มักจะทุกๆ 3-4 ชม. ต่อครั้ง เมื่อเช็คยอก็ควรดูที่ทุกๆ 2-3 ชม. หลังการให้อาหาร ส่วนการลอกคราบได้เป็นปกติตามระยะเวลา ปกติจะลอกคราบ 1-2 สัปดาห์ต่อครั้ง ตามอายุของกุ้ง มีความสามารถในการขจัดสิ่งแปลกปลอม เช่น ตะกอนหรือโปรโตซัวบางชนิด จากร่างกายหรือเหงือกตัวเองได้ และโดยธรรมชาติจะหนีแสง จึงกระโดดหลบได้อย่างว่องไวเมื่อส่องไฟ ในยามกลางคืน เป็นต้น


กุ้งป่วย มีลักษณะภายนอกพฤติกรรมต่างๆ ดังนี้



1) กุ้งโตช้า สีคล้ำ
2) กุ้งกินอาหารลด ขี้กุ้งมีสีผิดปกติ 3
) กุ้งมักเกาะขอบบ่อ หรือล่องบนผิวน้ำไปมา
4) ลำตัวขุ่นขาวไม่สะอาด เหงือกมีสีต่างๆ หนวดกุด ขากุดดำ
5) ตัวซีด ตับซีด ตับบวมโตหรือหดผิดปกติ
6) ลอกคราบแล้วไม่แข็งตัว ตัวนิ่ม อ่อนเพลีย
7) ตัวลำตัวมีสีแดง มีดวงขาว
8) ลักษณะอื่นๆ ตามอาการของโรค ฯลฯ

ในทางตรงกันข้าม กุ้งที่ผิดปกติ หรือป่วยมักแสดงออกถึงการที่ไม่ชอบกินอาหาร ทำให้กินอาหารลด หากกุ้งติดเชื้อที่ลำไส้ก็มักจะทำให้ขี้กุ้งมีสีผิดปกติ เมื่อร่างกายอ่อนแอก็ไม่สามารถที่จะดูแลตัวเองโดยการขจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข่ามาเกาะที่ร่างกายหรือเงือกได้ ทำให้สีผิว เหงือกมีสีผิดปกติ เมื่อเป็นสะสมมากเข้าก็จะทำให้แบคทีเรียเข้าติดเชื้อได้ง่าย ทำให้หนวดกุด หางกร่อน ร่างกายเป็นแผล ติดเชื้อในกล้ามเนื้อ สุดท้ายเมื่อร่างกายไม่สามารถขจัดสิ่ง แปลกปลอมได้ก็จะติดเชื้อภายใน ทำให้ตับผิดปกติ ระบบการทำงานของเนื้อเยื่อเสียไป ทำให้ลอก คราบไม่แข็งตัว อ่อนเพลีย มีผลต่อการแสดงออกที่ลักษณะพิเศษของแต่ละโรคนั้นๆ เมื่อกุ้งป่วยก็ มักจะต้องการพลังงานและออกซิเจนมากผิดปกติ จึงเป็นเหตุให้กุ้งป่วยจะมาเกาะที่ข้างบ่อ หรือล่องอยู่ตามผิวน้ำ เป็นต้น


ข้อปฏิบัติกรณีกุ้งป่วย


เมื่อพบว่ากุ้งเริ่มแสดงอาการผิดปกติ ควรให้เกษตรกรดู ผลการบันทึกคุณภาพน้ำ สุขภาพประจำวันย้อนหลัง สักประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อค้นหาสาเหตุ เบื้องต้น พร้อมๆ กับนำกุ้งที่ป่วย โดยเฉพาะกุ้งที่กำลังแสดงอาการ แต่ยังไม่ตายจำนวนอย่างน้อย 10 ตัวขึ้นไป ส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง เมื่อตัวอย่างกุ้งป่วยมาถึงห้องปฏิบัติการ ให้สังเกตและปฏิบัติดังนี้ (1) บันทึกอาการภายนอกที่สังเกตเห็นได้ เช่น ลักษณะสีผิว ความสะอาด ของลำตัว ความนิ่มของเปลือก ลักษณะสีและขนาดของตับ ลักษณะสี และขนาดของจุดที่ปรากฏ ความผิดปกติของกล้ามเนื้อ เป็นต้น (2) ตรวจสภาพภายนอกผ่านกล้องจุลทรรศน์แสง เพื่อตรวจพยาธิภายนอก และสิ่งปลอมปนอื่นๆ ที่อยู่ภายในตัวกุ้ง (3) กุ้งที่ป่วยและแสดงอาการการติดเชื้อแบคทีเรีย ให้ทำการเขี่ยเชื้อจากน้ำในบ่อเลี้ยงและจากตัวกุ้ง มักเป็นตับอ่อนหรืออวัยวะที่สงสัย เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุของโรคที่เกิด จากเชื้อแบคทีเรีย (4) กุ้งที่ป่วยบางส่วนที่ยังคงมีชีวิตอยู่ และวิการไม่ชัดเจน อาจทำการฉีด น้ำยาเดวิดสันทั่วตัวกุ้งนั้นและดองในน้ำยาดังกล่าว เพื่อทำการตรวจพยาธิสภาพต่อไป (5) กุ้งที่ป่วยและมีอาการคล้ายติดเชื้อไวรัส หรือไม่ทราบสาเหตุ ให้ส่งตรวจหาเชื้อไวรัสที่รุนแรงด้วยวิธีพีซีอาร์ เพื่อตรวจหาการติดเชื้อไวรัสและยืนยันโรค เมื่อกุ้งที่ป่วยสามารถวิเคราะห์หาสาเหตุของโรคได้แล้ว อาจสามารถปฏิบัติได้ดังนี้ 1) กุ้งที่ตรวจพบเชื้อพยาธิภายนอกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากพยาธิภายนอกที่มักพบได้แก่ ซูโอแทนเนียม อีพิสไตรีส เกิดจากสภาพการเลี้ยงมีตะกอนและสารอินทรีย์ในบ่อสูง โดยธรรมชาติกุ้งขาวเป็นกุ้งที่ล่องอยู่กลางน้ำ และค่อนข้างอ่อนไหวกับสารเคมี ดังนั้นการกำจัดพยาธิภายนอกอาจหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีในการกำจัดเชื้อ ควรเน้นการจดการอื่นๆ เช่น จำกัดปริมาณการให้อาหาร การใช้จุลินทรีย์ช่วยย่อยสารอินทรีย์ให้เร็วขึ้น การเปลี่ยนถ่ายน้ำเพื่อ ลดสารอินทรีย์ที่มากเกินไป เป็นต้น 2) กุ้งป่วยที่พบว่าติดเชื้อแบคทีเรีย โดยส่วนมากมักเกิดจากเชื้อ วิบริโอเป็นหลัก ในการรักษาอาจใช้ยาที่ผ่านการตรวจสอบความไว (sensitivity test) และเป็นกลุ่มยาที่อนุญาตให้ใช้คลุกผสมอาหารเม็ดของกุ้งในปริมาณที่แนะนำ เช่น ยา oxytetracycline oxolinic acid เป็นต้น และควรแนะนำให้ใช้ในระหว่างการเลี้ยงที่อายุไม่เกิน 2 เดือนครึ่ง เพื่อให้มีระยะหยุดยาก่อนจับ ถ้าหากพบการติดเชื้อที่กุ้งอายุประมาณ 3 เดือน ควรใช้การจัดการเป็นหลัก เช่น ควบคุมปริมาณอาหาร ควบคุมปริมาณตะกอนในน้ำ ลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียในน้ำโดยใช้สารเคมี เช่น ไอโอดีน เป็นต้น หรือใช้จุลินทรีย์บางชนิดเพื่อควบคุมแบคทีเรียที่เป็นโรคไม่ให้เพิ่มปริมาณมากเกินไป 3) กุ้งที่ตรวจพบว่าเป็นโรคไวรัสที่ไม่ค่อยรุนแรง เช่น โรคไวรัส IHHNV IMNV นอกจากป้องกันมิให้มีโรคนำเข้ามาในบ่อเลี้ยงตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ยังไม่มีวิธีการรักษาที่แท้จริง แต่เนื่องจากเป็นโรคที่ก่อให้เกิดความเสียหายทางด้านรูปลักษณ์ เช่น กุ้งพิการ กุ้งมีกล้ามเนื้อขุ่นขาว ไม่เป็นลักษณะที่ตลาดต้องการ และที่สำคัญ คือ ทำให้การเจริญเติบโตช้า อย่างไรก็ตามโรคเหล่านี้สามารถเป็นโรคอื่นๆ ร่วมกันได้ เช่น โรคตัวแดงดาวขาว โรคทอร่า โรควิบริโอซีส เป็นต้น แล้วทำให้อัตราการตายสูงขึ้นได้รุนแรงมาก 4) กุ้งที่พบว่าป่วยเป็นโรคไวรัสที่รุนแรงและสามารถแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ได้แก่ โรคตัวแดงดวงขาว โรคหัวเหลือง โรคทอร่า เนื่องจากไม่มีวิธีรักษาสำหรับโรคเหล่านี้ ดังนั้น ต้องรีบตัดสินใจและปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งทันที เพื่อมิให้เกิดความเสียหายไป มากกว่าที่เป็นอยู่ และไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด ในกรณีที่ต้องตัดสินใจว่าสถานการณ์ที่กุ้งขาวป่วย นั้น ควรจะทำการรักษาหรือจับ ควรพิจารณาจากองค์ประกอบต่อไปนี้ - ดูปริมาณอาหารในยอ ถ้าไม่ตอบสนองต่อการกิน อาหารกินอาหารในยอได้ไม่ถึง 10% และมีปริมาณการตายขอบบ่อลอยตายมาก สถานการณ์นี้ต้องจับ - ถ้าพบการตายในยอบ้าง แต่อาหารในยอกุ้งยังกินหมด ให้รีบหาสาเหตุความผิดปกติ ยังไม่ต้องจับ - หากมีการตายจำนวนมากของกุ้งขาวเกิดขึ้นในช่วงอายุประมาณ 20 วัน มักจะรักษาไม่ได้ ให้กำจัดกุ้ง แล้วเตรียมบ่อใหม่ - ถ้าหากมีการทยอยตาย และตัวนิ่ม ให้ตรวจสอบปริมาณธาตุอาหาร โดยเฉพาะปริมาณแคลเซี่ยม และแมกนีเซียมในน้ำ ต้องมากกว่า 100 มก./ล. ทั้งนี้ในการประกอบการตัดสินใจ ควรจะมีผลการตรวจจาก ห้องปฏิบัติการด้วยทุกครั้ง และการตัดสินใจกระทำอย่างใดอย่างหนี่งนั้น ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์เป็นสำคัญ เพื่อให้การตัดสินใจนั้นมีความแม่นยำมากขึ้น

การเก็บเกี่ยวผลผลิตและการขนส่ง 



การเตรียมความพร้อมก่อนจับกุ้ง

ปัจจุบันเกษตรกรจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมก่อนจับกุ้ง เพราะจะทำให้เกษตรกรทราบว่าต้องจัดการฟาร์มเลี้ยงอย่างไร เพื่อให้พร้อมที่จะขายผลผลิตกุ้งที่มีคุณภาพ
เมื่อกุ้งมีอายุได้ประมาณ 3 ถึง 3.5 เดือน ให้ส่งกุ้งปริมาณประมาณ 1 กก. เพื่อตรวจวิเคราะห์ยาตกค้างตามที่มาตรฐาน GAP กำหนด ได้ตามสถาบันฯ/ศูนย์/สถานีประมง ในสังกัด สำนักวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง เมื่อพบว่าผลการตรวจเป็นไปตามมาตรฐาน เกษตรกรจะต้องเฝ้าระวังไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในระหว่างเลี้ยง เพื่อลดความเสียในการที่จะต้องใช้ยาและสารเคมีในการรักษากุ้ง เมื่อกุ้งมีขนาดและราคาที่เหมาะสมกับการจับ และมีปัญหาการตายของกุ้งในระหว่างเลี้ยง เกษตรกรควรตัดสินใจที่จะจับกุ้งดีกว่าตัดสินใจใช้ยาและสารเคมีแก้ไขก่อนจับขาย เพราะถ้าแก้ไขปัญหาไม่ได้ เกิดการตายกุ้งในปริมาณมาก กุ้งที่จับอาจจะมียาตกค้างได้สูง ทำให้ผลผลิตกุ้งไม่เป็นที่ยอมรับอาจจะถูกปฏิเสธการซื้อขายได้
กุ้งที่สุขภาพไม่ดีที่สามารถสังเกตได้ด้วยสายตา เช่นหางกร่อน หรือลำตัวเป็นแผลจะไม่ได้รับการยอมรับจากผู?บริโภคและทำให้ราคาตก ดังนั้น เกษตรกรควรดูแลเอาใจใส่ในระหว่างการเลี้ยงเพื่อให้กุ้งมีลักษณะภายนอกที่สวยสะอาด เมื่อมีปัญหาในการเลี้ยงเกษตรกรจึงควรตัดสินใจแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปก่อนจับกุ้ง หรือจับกุ้งทันทีก่อนที่สภาพกุ้งภายนอกเสียหาย
ปัญหากุ้งตัวนิ่มจะต้องมีการวิเคราะห์ก่อนจับเพื่อแก้ไขปัญหา ในวันที่จับกุ้งเปลือกนิ่ม ควรมีน้อยที่สุด กำหนดการจับต้องจับกุ้งหลังจากลอกคราบ ไปแล้วระยะหนึ่งเพื่อให้กุ้งคราบแข็ง และเนื้อแน่น ทำให้มีราคาดี ปกติกุ้งขนาด ประมาณ 25-20 กรัม มีระยะเวลาลอกคราบ ประมาณ 10-12 วัน เมื่อพบว่ากุ้งนิ่ม เกษตรกรควรเลี้ยงต่อไปอีกสักระยะ และอาจเพิ่มแร่ธาตุ แคลเซียม แมกนีเซียมให้กุ้งเพื่อให้เปลือกแข็ง แล้วจึงจับกุ้งขาย
ก่อนการจับกุ้งถ้ามีการใช้ยาปฏิชีวนะหรือตรวจพบว่ามีตกค้างในเนื้อกุ้งเกินมาตรฐานสากล เกษตรกรต้องเลี้ยงกุ้งต่อไปอีกระยะเวลา (ประมาณ 3 สัปดาห์) ซึ่งเพียงเพียงพอในการให้กุ้งที่มีชีวิตอยู่ขับยาออกมาให้มากที่สุด และก่อนจับกุ้งประมาณไม่น้อยกว่า 3 วัน ไม่ควรใช้ปัจจัยการผลิตที่เป็นสารเคมี ถึงแม้เป็นสารที่อนุญาตให้ใช้ได้ก็ตามเพื่อรักษาคุณภาพของกุ้งที่เลี้ยงให้ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด ระยะเวลาจับขึ้นอยู่กับสภาพของกุ้งในบ่อ และราคากุ้ง
เกษตรกรต้องควรดูความเรียบร้อยของเอกสาร และสมุดบันทึกของฟาร์ม และตรวจสอบราคาซื้อขายของกุ้ง เมื่อกำหนดวันได้แล้ว ก่อนจับเกษตรกรต้องนำเอกสารประกอบการซื้อขายลูกพันธุ์กุ้งทะเล ไปติดต่อขอออกเอกสารประกอบการซื้อขายกุ้งทะเล จากหน่วยงานของกรมประมง ชมรมหรือกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับการอนุญาตให้ออกเอกสารดังกล่าวแทนกรมประมง เกษตรกรจะต้องแจ้งปริมาณและขนาดของกุ้งที่ประเมินได้ เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้บันทึกให้ถูกต้องใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด
วิธีการจับกุ้ง


การจับกุ้งต้องวางแผนจับให้เร็วที่สุด และวิธีการที่ใช้จะต้องไม่ทำให้กุ้งเสียคุณภาพ หรือปนเปื้อน การจับกุ้งอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการปนเปื้อนแบคทีเรีย และกุ้งยังคงรักษาความสดอยู่ได้จนถึงโรงงานแปรรูป
ทำความสะอากอุปกรณ์ที่ใช้จับและขนส่งกุ้ง เช่น ภาชนะ ถังแช่กุ้ง โต๊ะคัดกุ้ง เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ที่ใช้ในการจับกุ้ง สะอาดถูกสุขอนามัย ภาชนะและกุ้งนั้นต้องไม่สัมผัสกับพื้น ควรมีรางเหล็กใช้วาง
การจับโดยใช้การปล่อยน้ำและถุงอวน จะเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุด และสามารถจับกุ้งได้เร็วภายใน 4-6 ชม. แต่บ่อเลี้ยงจะต้องมีการออกแบบให้น้ำไหลไปสู่ประตูระบายน้ำได้ง่าย เวลาจับกุ้งที่ดีที่สุด คือ เวลาเช้า และสามารถจับกุ้งเสร็จก่อนเที่ยง
การใช้อวนลากกุ้งในบ่อ เช่น อวนไฟฟ้า หรืออวนธรรมดาขนาดใหญ่ เกษตรกรควรลดระดับน้ำ ลงมาเหลือ 0.5-0.8 เมตร และพยายามใหคนงานลงจับกุ้งในบ่อให้น้อยที่สุด การให้คนงานลงจับ ตะกอนพื้นบ่อจะฟุ้ง ตะกอนจะเข้าเหงือกกุ้ง
การถ่ายน้ำเพื่อการจับกุ้งอาจจะใช้วิธีเปิดประตูถ่ายน้ำออกจนหมดบ่อ และจับโดยใช้ถูกอวนหรือใช้เครื่องสูบน้ำ และจับกุ้งจากประตูน้ำเทียมซึ่งสร้างชั่วคราวไว้ในบ่อเลี้ยงกุ้ง
ในระหว่างการจับกุ้งไม่ควรใช้สารเคมี หรือสารปรุงแต่งที่ต้องห้ามมิให้ใช้ หรือที่เป็นอันตราย ทำให้เกิดการปนเปื้อนและการตกค้างในผลผลิตกุ้ง
ในระหว่างการจับกุ้งเกษตรกรต้องระมัดระวังไม่ไห้น้ำทิ้งไหลเร็วจนทำให้มีการชะล้างหรือนำตะกอนลงไปสะสมในแหล่งน้ำ ดังนั้น น้ำทิ้งจากการจับกุ้งควรผ่านระบบบำบัด ที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำให้ดีก่อน พักหรือบำบัดน้ำจนน้ำทิ้งมีคุณภาพดีขึ้น แล้วจึงปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
กุ้งที่จับต้องรีบทำความสะอาดและแช่ในน้ำแข็งที่สะอาด และขนย้ายไปชั่งและคัดขนาดอย่างรวดเร็ว เศษกุ้งที่เหลือจากการคัดกุ้งควรมีการรักษาความสะอาดและไม่หมุนเวียนกลับมาใช้ในการเลี้ยงกุ้งใหม่อีกครั้งโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ทำให้มีความสะอาดปราศจากเชื้อโรคก่อนนำกลับมาใช้ใหม่ การขนส่งผลผลิตกุ้ง


ขนส่งกุ้งสู่โรงงานหรือแพรับซื้อกุ้ง ในสภาพที่เย็น และขนส่งให้เร็วที่สุดภายในเวลา ไม่ควรเกิน 10 ชั่วโมง การขนส่งและการทำให้กุ้งตายต้องใช้วิธีการที่สะอาดถูกสุขอนามัย และให้สามารถรักษาคุณภาพและความสด การรักษาอุณหภูมิให้มีความเย็นในระหว่างการจับหรือการชั่งคัดกุ้ง ทำให้กุ้งยังคงมีความสดมากที่สุด






สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์
เรื่องกุ้งๆที่ใครๆก็รู้ โดย อรจิรา บอนน์ อนุญาตให้ใช้ได้ตาม สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International.
อยู่บนพื้นฐานของงานที่ http://aboutshrimpp.blogspot.com/.
การอนุญาตนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในสัญญาอนุญาตนี้ อาจมีอยู่ที่ http://aboutshrimpp.blogspot.com/